โยนออฟอาร์ค
ฌานอ้างว่าได้รับนิมิตจาก
พระเจ้าผู้ทรงบอกให้ไปช่วยกู้บ้านเมืองคืนจากการครอบครองของฝ่าย
อังกฤษในปลาย
สงครามร้อยปี มกุฎราชกุมารชาร์ลส์ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ทรงส่งโจนไปช่วย
ผู้ถูกล้อมอยู่ในเมืองออร์เลอองส์ ฌานสามารถเอาชนะทัศนคติของนายทัพผู้มีประสบการณ์ได้และสามารถยุติการล้อมเมืองได้ภายใน 9 วัน หลังจากนั้นการได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดหลายครั้งก็นำไปสู่การราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ที่
แรงส์ (Reims) ซึ่งเป็นวิธีการพยายามยุติข้อขัดแย้งของสิทธิในการครองราชบัลลังก์ฝรั่งเศส
เบื้องหลัง
ฝรั่งเศสเมื่อฌาน ดาร์กเริ่มมีบทบาท เส้นไข่ปลาคือปารีสที่อยู่ใจกลางบริเวณการควบคุมของอังกฤษในเบอร์กันดี แรงส์อยูทางตะวันออกเฉียงเหนือของบริเวณนี้
นักประวัติศาสตร์
เคลลี เดวรีส์ (Kelly DeVries) บรรยาช่วงเวลาก่อนหน้าการปรากฏตัวของฌานว่า “ถ้าจะมีสิ่งใดที่จะยับยั้งฌานสิ่งนั้นก็เห็นจะเป็นสถานะการณ์อันเลวร้ายของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1429”
สงครามร้อยปีเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1337 เมื่อฝ่าย
อังกฤษอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส (prétentions anglaises au trône français) โดยมีช่วงที่มีความสันติเป็นระยะๆ การต่อสู้ส่วนใหญ่ของสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นในฝรั่งเศส ฝ่ายอังกฤษใช้กลวิธี "
Chevauchée" (ที่คล้ายคลึงกับ "
Scorched earth") เพื่อเป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจของฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้น
ประชากรของฝรั่งเศสก็ยังไม่ฟื้นตัวจาก
กาฬโรคที่ระบาดในยุโรปของคริสต์ศตวรรษก่อนหน้านั้น และพ่อค้าก็ถูกตัดโอกาสจากการค้าขายกับตลาดต่างประเทศ เมื่อฌานเริ่มเข้ามามีบทบาทอังกฤษก็เกือบจะมีความสำเร็จในการปกครองสองอาณาจักรร่วมกันภายใต้การปกครองของอังกฤษ และทางฝ่ายฝรั่งเศสเองก็ไม่ได้รับชัยชนะที่เป็นจริงเป็นจังมาหลายชั่วคนแล้ว ดังเช่นที่เดวรีส์กล่าวว่า “ราชอาณาจักรฝรั่งเศสไม่มีอะไรหลงเหลือเป็นร่องรอยให้เห็นถึงความรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13”
[6]
พรมทอแขวนผนังแสดงภาพฌานออฟอาร์คเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7
ฌานออฟอาร์คในยุทธการที่ออร์เลอองส์
พระมหากษัตริย์ของฝรั่งเศสเมื่อฌานเกิดคือ
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 ผู้ที่ทรงมีอาการเสียพระสติเป็นพักๆ จนบางครั้งก็ไม่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชภารกิจในการปกครองได้ พระอนุชา
หลุยส์แห่งวาลัวส์ ดยุกแห่งออร์เลอองส์ และลูกพี่ลูกน้องของพระองค์
จอห์นเดอะเฟียร์เลสส์ ดยุกแห่งเบอร์กันดีก็มักจะทะเลาะกันเรื่องการสำเร็จราชการของฝรั่งเศสและในเรื่องที่ผู้ใดสมควรที่จะมีหน้าที่คุ้มครองพระราชโอรสธิดาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 ความขัดแย้งลามไปถึงการกล่าวหาว่า
พระราชินีอิสซาเบลลาในพระเจ้าชาร์ลส์ ว่าทรงมีชู้และการลักพาตัวของพระราชโอรสธิดาของพระเจ้าชาร์ลส์ วิกฤติการณ์มาถึงจุดสุดยอดเมื่อดยุกแห่งเบอร์กันดีมีคำสั่งให้สังหารดยุกแห่งออร์เลอองส์ในปี
ค.ศ. 1407
ฝักฝ่ายของผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายมารู้จักกันว่า “
ฝ่ายอาร์มันญัค” (Parti armagnac) ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนดยุกแห่งออร์เลอองส์ และ “
ฝ่ายเบอร์กันดี” (Parti bourguignon) ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนดยุกแห่งเบอร์กันดี
พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ
พระเจ้าเฮนรีที่ 5 ทรงฉวยโอกาสระหว่างที่ฝรั่งเศสมีความขัดแย้งกันภายในในการยกทัพมารุกรานฝรั่งเศสและทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดใน
ยุทธการอาแฌงคูร์ต (Bataille d'Azincourt) ในปี ค.ศ. 1415 ที่ทำให้ทรงสามารถยึดดินแดนทางเหนือของฝรั่งเศสได้
[7] เจ้าชายชาร์ลส์ทรงได้รับตำแหน่งเป็น
มกุฎราชกุมาร (le Dauphin) เมื่อพระชนมายุได้ 14 พรรษาหลังจากที่พระเชษฐาทั้งสี่พระองค์ต่างสิ้นพระชนม์กันไปหมด
[8] พระราชภารกิจแรกที่ทรงทำคือทรงตกลงสงบศึกในสนธิสัญญากับฝ่ายเบอร์กันดีในปี ค.ศ. 1419 ที่จบลงด้วยสถานะการณ์อันเลวร้ายเมื่อ
ฝ่ายอาร์มันญัคสังหาร
จอห์นเดอะเฟียร์เลสส์ระหว่างการพบปะภายใต้คำสัญญาของเจ้าชายชาร์ลส์ว่าจะทรงรักษาความปลอดภัยให้แก่ดยุก ดยุกแห่งเบอร์กันดีคนใหม่
ฟิลลิปเดอะกูดกล่าวหาเจ้าชายชาร์ลส์ทรงมีความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและหันไปเป็นพันธมิตรกับอังกฤษ ดินแดนส่วนใหญ่ทางด้านเหนือของฝรั่งเศสจึงตกไปเป็นของอังกฤษ
[9]
เมื่อต้นปี ค.ศ. 1429 ด้านเหนือของฝรั่งเศสเกือบทั้งหมดและบางส่วนทางด้านตะวันตกเฉียงไต้ก็ตกอยู่ในมือของชาวต่างประเทศ ฝ่ายอังกฤษปกครองปารีส ขณะที่ฝ่าย
ดัชชีแห่งเบอร์กันดีมีอำนาจใน
แรงส์ แรงส์มีความสำคัญเพราะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการทำ
พิธีราชาภิเษกกษัตริย์ฝรั่งเศส โดยเฉพาะในกรณีนี้ที่ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เข้าทำพิธีสวมมงกุฎ ฝ่ายอังกฤษนำทัพเข้ามาทำ
การล้อมเมืองออร์เลอองส์ ซึ่งเป็นเมืองเดียวทางตอนเหนือของฝรั่งเศสในบริเวณ
ลัวร์ที่ยังจงรักภักดีต่อฝ่ายฝรั่งเศส ที่ตั้งของออร์เลอองส์เป็นที่ตั้งสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดอุปสรรคสุดท้ายก่อนที่ทั้งฝรั่งเศสจะตกไปเป็นของอังกฤษ ตามคำบรรยายของนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ว่า “ราชอาณาจักรฝรั่งเศสทั้งอาณาจักรขึ้นอยู่กับชะตาของออร์เลอองส์”
[12] ซึ่งขณะนั้นก็ไม่มีผู้ใดที่หวังว่าออร์เลอองส์จะรอดจากการถูกยึดโดยฝ่ายอังกฤษได้
[13]
เบื้องต้น
บ้านเกิดของฌานในปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ โบสถ์ประจำหมู่บ้านที่ฌานเคยเข้าไปสักการะอยู่ทางขวาหลังต้นไม้
ซากท้องพระโรงเอกที่ปราสาท
ชินอง(Chinon) ที่ฌานเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 หอเดียวของปราสาทที่มิได้ถูกทำลายปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์อุทิศให้ฌาน
ฌานเป็นบุตรีของ
ฌาคส์ ดาร์กและ
อิสซาเบลลา โรเม [14] ในหมู่บ้านโดมเรมี (Domrémy) ที่ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของดัชชีบาร์ (ต่อมาถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ
แคว้นลอร์แรนและเปลี่ยนชื่อเป็นโดมเรมี-ลา-ปูเซลล์)
[15] บิดามารดาของฌานมีที่ดินทำการเกษตรกรรมราว 50 เอเคอร์ (0.2 ตารางกิโลเมตร) บิดามีรายได้เพิ่มจากการมีหน้าที่เก็บภาษีและเป็นยามในหมู่บ้าน
[16] ที่ตั้งของที่ดินของครอบครัวดาร์กอยู่ในบริเวณทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือที่ล้อมรอบโดย
ดินแดนเบอร์กันดีแต่เป็นหมู่บ้านที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส หมู่บ้านที่ฌานเติบโตขึ้นมาก็ถูกรุกรานหลายครั้งและครั้งหนึ่งถึงกับถูกเผา
ระหว่างการพิจารณาคดีฌานให้การว่ามีอายุ 19 ปี ฉะนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าเกิดราวปี ค.ศ. 1412 ต่อมาฌานให้การว่าได้รับนิมิต (vision) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1424 เมื่ออายุได้ 12 ปีขณะที่ออกไปเดินในทุ่งคนเดียวและได้ยินเสียง และให้การต่อไปว่าหลังจากวิสัยทัศน์หายไปเธอก็ร้องไห้ด้วยความปิติเพราะความงามของสิ่งที่ปรากฏ และกล่าวต่อไปว่านักบุญ
มาร์กาเรตแห่งแอนติออก นักบุญ
แคเธอรินแห่งอะเล็กซานเดรีย และ
อัครทูตสวรรค์มีคาเอลเป็นผู้มาบอกให้กำจัดฝ่ายอังกฤษและให้นำมกุฎราชกุมารชาร์ลส์ไปยังแรงส์เพื่อประกอบ
พิธีราชาภิเษก[17]
เมื่ออายุได้ 16 ปี ฌานก็ขอให้ดูร็อง ลาซัว (Durand Lassois) ผู้เป็นญาตินำตัวไป Vaucouleurs เพื่อไปร้องขอให้ผู้บังคับบัญชากองทหาร เคานท์
โรแบร์ต เดอ โบดริคูร์ต(Robert de Baudricourt) ให้อนุญาตให้ไปเฝ้ามกุฎราชกุมารชาร์ลส์ในราชสำนักฝรั่งเศสที่
ชีนง (Chinon) คำตอบเสียดสีของ
โบดริคูร์ตมิได้ทำให้ฌานเปลี่ยนใจ
[18] ฌานกลับมาในเดือนมกราคมปีต่อมาและได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญสองคน: ฌอง เด เมซ (Jean de Metz) และ แบร์ตรองด์ เดอ ปูเลนยี (Bertrand de Poulengy)
[19] ภายใต้การสนับสนุนของบุคคลสองคนนี้ฌานก็ได้รับการสัมภาษณ์เป็นครั้งที่สองที่ทำนายผลของ
ยุทธการแฮริงส์ (Battle of the Herrings) ไม่ไกลจากออร์เลอองส์
[20]
ขึ้นอำนาจ
โรแบร์ต เดอ โบดริคูร์ตอนุญาตการเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ของฌานที่
ชีนงเมื่อได้รับข่าวยืนยันผลของสงครามว่าเป็นไปตามที่ฌานทำนายไว้ก่อนหน้านั้น ฌานเดินทางไปชีนงโดยการฝ่าดินแดนเบอร์กันดีของฝ่ายศัตรูโดยแต่งตัวเป็นผู้ชาย
[21] เมื่อไปถึงราชสำนักฌานก็สร้างความประทับใจให้แก่
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ระหว่างการเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว จากนั้นพระองค์ก็มีพระราชโองการให้ทำการสืบถามถึงเบื้องหลังของฌานและตรวจสอบความรู้ทาง
เทววิทยาคริสเตียนที่
ปัวตีเย (Poitiers) เพื่อที่จะพิสูจน์ยืนยันถึงความมีศีลธรรมของฌาน ในระหว่างนั้น
โยลันเดอแห่งอารากอน (Yolande d'Aragon) แม่ยายของพระเจ้าชาร์ลส์ ก็พยายามหาทุนเพื่อหากำลังไปช่วยปลดปล่อย
ออร์เลอองส์ที่ถูกล้อมโดยอังกฤษอยู่ ฌานจึงยื่นคำร้องขอติดตามไปกับกองทหารด้วยโดยการแต่งตัวเป็นอัศวิน เครื่องแต่งตัว, อาวุธ, ม้า, ธง และผู้ติดตามของฌานเป็นของที่ได้มาจากการอุทิศหรือผู้อาสา กล่าวกันว่าเสื้อเกราะของฌานเป็นสีขาว นักประวัติศาสตร์สตีเฟน ดับเบิบยู. ริชชีให้คำอธิบายว่าความดึงดูดของฌานขณะนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ให้ความหวังแก่กองทหารที่แทบจะไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้ได้:
“ | หลังจากปีแล้วปีเล่าที่ได้รับความพ่ายแพ้[ต่ออังกฤษ] ทั้งทางด้านการยุทธการและทางการเป็นผู้นำ ฝรั่งเศสก็ถึงจุดที่เสื่อมลงที่สุดทั้งทางกำลังใจและทางความมีประสิทธิภาพ เมื่อมกุฎราชกุมารชาร์ลส์ประทานอนุญาตตามคำขอของฌานในการแต่งตัวถืออาวุธเข้าร่วมในสงครามและเป็นผู้นำทัพ ก็คงเป็นการตัดสินพระทัยที่มีพื้นฐานมาจากการที่ทรงได้ใช้วิธีต่างๆ มาทุกวิธีแล้วแต่ไม่มีวิธีใดที่สำเร็จ ก็เห็นจะมีแต่คณะการปกครองที่หมดหนทางเข้าจริงๆ แล้วเท่านั้นที่จะหันไปสนใจกับความคิดเห็นของเด็กสาวชาวนาที่ไม่มีการศึกษาผู้อ้างว่าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าที่มีคำสั่งให้เป็นผู้นำในการนำกองทัพของชาติไปสู่ชัยชนะ[22] | ” |
“พระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษ, และท่าน, ดยุกแห่งเบดฟอร์ด, ผู้ที่เรียกตัวท่านเองว่าเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งราชอาณาจักรฝรั่งเศส...จงใช้หนี้ของท่านต่อพระเจ้าแห่งสวรรค์; จงนำกุญแจของทุกประตูเมืองทุกประตูที่ท่านนำไปอย่างไม่ถูกต้องจากฝรั่งเศสกลับมาคืนให้แก่สตรี, ผู้เป็นทูตของพระเจ้าแห่งสวรรค์” |
“จดหมายของฌานถึงฝ่ายอังกฤษ, มีนาคม–เมษายน ค.ศ. 1429; Quicherat I, หน้า 240” |
ฌานมาถึง
ออร์เลอ็อง เมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1429 แต่
ฌ็อง เดอ ดูว์นัว (Jean de Dunois) ผู้เป็นประมุขของตระกูล
ดยุกแห่งออร์เลอ็องไม่ยอมรับฌานและกีดกันจากการเข้าร่วมประชุมในสภาสงครามและไม่ยอมบอกฌานเมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้น
[23] แต่การกระทำเช่นนั้นก็มิได้หยุดยั้งฌานจากการปรากฏตัวในการประชุมสภาต่าง ๆ และในการเข้าร่วมรบ แต่ความเกี่ยวข้องของฌานในการเป็นผู้นำทางการทหารที่แท้จริงนั้นเป็นหัวข้อของการถกเถียงกันทางประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์เก่าเช่นเอดูอาร์ด เปร์รอยสรุปว่าฌานเป็นผู้ถือธงและมีหน้าที่สำคัญในการเป็นผู้เป็นแรงบันดาลใจแก่กองทหาร
[24] ข้อวิจัยเช่นนี้มักจะมีพื้นฐานมาจากคำให้การในการพิจารณาคดีครั้งแรก หรือที่เรียกว่า “การพิจารณาคดีประณาม” (procès en condamnation) ที่ฌานให้การว่าเป็นผู้ชอบถือธงมากกว่าถือดาบ แต่นักประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้มีความสนใจในคำให้การในการพิจารณาคดีครั้งที่สอง หรือที่เรียกว่า “การพิจารณาคดีประณามเป็นโมฆะ” (procès en réhabilitation) เสนอความเห็นว่านายทหารด้วยกันสรรเสริญว่าฌานเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญทางยุทธวิธี (tacticien) และเป็นผู้มีความสำเร็จทางการวางแผนทางยุทธศาสตร์ (stratège) ตัวอย่างของฝ่ายนี้ก็ได้แก่ความเห็นของสตีเฟน ดับเบิบยู. ริชชีที่กล่าวว่า “เธอนำกองทหารที่ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดหลายครั้งที่ทำให้แนวโน้มของสงครามผันไป”
[21] แต่ไม่ว่าความเห็นจะต่างกันอย่างใดนักประวัติศาสตร์โดยทั่วไปก็มีความเห็นตรงกันอยู่อย่างหนึ่งได้ว่ากองทหารฝรั่งเศสขณะนั้นมีความพึงพอใจต่อความสำเร็จที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้นที่ฌานเข้ามามีบทบาท
[25]
เป็นผู้นำ
หอภายใน
โบจองซี (Beaugency) ซึ่งเป็นสิ่งสองสามสิ่งที่มิได้ถูกทำลายจากสมัยการต่อสู้ของฌาน กองทัพฝ่ายอังกฤษถอยร่นขึ้นไปในหอทางบนขวาหลังจากกองทัพฝรั่งเศสทำลายกำแพงเมืองได้
ฌานไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่ระมัดระวังที่เป็นลักษณะของนโยบายของผู้นำฝ่ายฝรั่งเศสใช้ปฏิบัติอยู่ ระหว่างห้าเดือนของการถูกล้อมก่อนที่ฌานจะเข้ามามีบทบาท ผู้รักษาเมืองออร์เลอ็องพยายามออกไปต่อสู้กับฝ่ายอังกฤษเพียงครั้งเดียวและจบลงด้วยความล้มเหลว
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมฝ่ายฝรั่งเศสที่นำโดยฌานก็เข้าโจมตีและยึดป้อม
แซ็งลูป (Saint Loup) ในบริเวณออร์เลอองส์ ตามด้วยการยึดป้อมที่สองแซ็งฌ็อง เลอ บล็องซึ่งไม่มีผู้รักษาการในวันรุ่งขึ้น จึงทำให้เป็นยึดที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ วันต่อมาฌานก็กล่าวต่อต้านฌอง ดอร์เลอองในสภาสงครามโดยการเรียกร้องให้มีการโจมตีฝ่ายศัตรูขึ้นอีกครั้ง ฌอง ดอร์เลอองไม่เห็นด้วยและสั่งให้ปิดประตูเมืองเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครออกไปรบ แต่ฌานก็รวบรวมชาวเมืองและทหารไปบังคับให้นายกเทศมนตรีเปิดประตูเมือง ฌานขี่ม้าออกไปพร้อมด้วยกัปตันผู้ช่วยอีกคนหนึ่งกับกองทหารไปยึดป้อม
แซ็งโตกุสแต็ง (Saint Augustins) ค่ำวันนั้นฌานก็ได้รับข่าวว่าตนเองถูกกีดกันจากการประชุมของสภาสงครามที่ผู้นำในสภาตัดสินใจรอทหารกองหนุนก่อนที่จะออกไปต่อสู้ครั้งใหม่ ฌานไม่สนใจกับข้อตกลงของสภาและนำทัพออกไปโจมตีที่ตั้งมั่นสำคัญของอังกฤษที่เรียกว่า “เล ตูเรลล์” (
"les Tourelles") เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม
[26] ผู้ร่วมสมัยยอมรับกันว่าฌานว่าเป็นวีรสตรีของสงคราม หลังจากที่ได้รับความบาดเจ็บจากลูกธนูที่คอแต่ยังสามารถนำทัพในการต่อสู้ต่อไปทั้งที่บาดเจ็บในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ออร์เลอ็องได้
[27]
“...สตรีผู้นี้บอกให้ท่านทราบที่นี่ว่า, ในแปดวัน, เธอได้ไล่พวกอังกฤษออกจากทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาได้มายึดไว้บนฝั่งแม่น้ำลัวร์โดยการโจมตีหรือโดยการใช้วิธีอื่น: พวกเขาเหล่านั้นถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกจับเป็นนักโทษหรือเพลี่ยงพล้ำในสนามรบ ขอให้ท่านเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับดยุกแห่งซัฟโฟล์คและน้องชาย ลอร์ดทาลบอท, ลอร์ดสเคลส์ และเซอร์ฟาสทอล์ฟ; อัศวินอีกหลายคนและกัปตันว่าได้รับความพ่ายแพ้” |
“จดหมายของฌานถึงประชาชนของตูร์เน (Tournai) 25 มิถุนายน ค.ศ. 1429; Quicherat V, หน้า 125–126” |
หลังจากชัยชนะในออร์เลอ็องแล้วฌานก็ถวายคำแนะนำให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 แต่งตั้งเธอให้เป็นผู้บังคับการกองทหารร่วมกับ
ฌ็อง ดยุกแห่งอาล็องซง (Jean II, Duc d'Alençon) และได้รับพระราชานุญาตให้ยึดสะพานบนฝั่งแม่น้ำลัวร์ที่ไม่ไกลจากที่นั้นคืน ก่อนหน้าที่จะเดินทัพต่อไปยัง
แรงส์เพื่อไปทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คำแนะนำของฌานเป็นคำแนะนำที่ออกจะเป็นความแนะนำที่ออกจะบ้าบิ่นเพราะ
แรงส์ห่างจากปารีสราวสองเท่าและอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนของศัตรู
[28]
ระหว่างทางฝ่ายฝรั่งเศสยึดเมืองต่างๆ คืนมาได้ที่รวมทั้ว
ฌาร์โก (Bataille de Jargeau) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน,
เมิง-เซอร์-ลัวร์ (Bataille de Meung-sur-Loire) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน และต่อมา
โบจองซีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ดยุกแห่งอาลองซงตกลงตามการตัดสินใจของฌานทุกอย่าง แม่ทัพคนอื่นๆ รวมทั้งฌอง ดอร์เลอองที่มีความประทับใจในการได้รับชัยชนะของฌานที่ออร์เลอองส์ก็หันมาสนับสนุนฌาน ดยุกแห่งอาลองซงสรรเสริญฌานว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตตนเองที่
ฌาร์โก เมื่อฌานเตือนถึงอันตรายที่มาจากปืนใหญ่ที่ระดมเข้ามา
[29] ในระหว่างยุทธการเดียวกันฌานก็ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนใหญ่บนหมวกเหล็กขณะที่กำลังปีนกำแพง กองหนุนของอังกฤษมาถึงบริเวณที่ต่อสู้กันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนภายใต้การนำของเซอร์
จอห์น ฟาสทอล์ฟ (John Fastolf) ใน
ยุทธการพาเตย์ (Bataille de Patay) ที่เหมือนกับ
ยุทธการอาแฌงคูร์ตแต่ในทางกลับกัน ทหารฝรั่งเศสโจมตีกองขมังธนูของฝ่ายอังกฤษก่อนที่กองขมังธนูจะมีโอกาสได้ตั้งตัวในการโจมตีเสร็จ หลังจากนั้นกองทัพฝรั่งเศสก็ได้เปรียบและเข้าจู่โจมทำลายกองทัพอังกฤษ ในที่สุดฝ่ายอังกฤษถ้าไม่ถูกฆ่าตายหรือได้รับบาดเจ็บก็หลบหนี ฟาสทอล์ฟหนีไปพร้อมกับผู้ติดตามไม่กี่คนและเป็นแพะรับบาปสำหรับความอับอายของอังกฤษ ฝ่ายฝรั่งเศสเสียผู้คนไปเพียงไม่เท่าไหร่
[30]
จากนั้นกองทัพฝรั่งเศสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ก็เริ่มเดินตั้งต้นเดินทัพจาก
เฌียง-เซอร์-ลัวร์ (Gien-sur-Loire) ไปยังแรงส์เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนและยอมรับการยอมแพ้ที่มีเงื่อนไขของเมือง
โอแซร์ (Auxerre) ที่เป็นของเบอร์กันดีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม เมืองที่ผ่านทุกเมืองต่างก็หันมาสวามิภักดิ์ต่อฝรั่งเศสโดยปราศจากการต่อต้าน
ทรัวซึ่งเป็นสถานในการทำสนธิสัญญาที่พยายามตัดสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ยอมจำนนหลังจากถูกล้อมอยู่สี่วัน
[31] เมื่อกองทัพเดินทางไปถึงตรัวส์ก็พอดีกับการที่เสบียงหมดลง เอ็ดเวิร์ด ลูซี-สมิธ (Edward Lucie-Smith) จึงอ้างว่าฌานมีความโชคดีมากกว่าที่จะมีความสามารถจริงๆ ที่เห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตรัวส์ ก่อนหน้าที่กองทัพฝรั่งเศสก็มีภราดาริชาร์ดเป็น
ไฟรอาร์ร่อนเร่อยู่ในบริเวณนั้นเที่ยวเทศนาถึงวันโลกาวินาศที่จะมาถึง และชักชวนให้ผู้คนเริ่มสะสมอาหารโดยการปลูกถั่วซึ่งเป็นพืชที่เก็บเกี่ยวได้เมื่อต้นฤดู เมื่อกองทัพฝรั่งเศสมาถึงบริเวณนั้นในจังหวะเดียวกับที่ถั่วพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้พอดี
[32]
“เจ้าชายแห่งเบอร์กันดี, ข้าพเจ้าขอสวดมนต์ให้ท่าน—ข้าพเจ้าขอวิงวอนและเรียกร้องด้วยความถ่อมตัว—ให้ท่านจงอย่างต่อสู้ต่อไปกับราชอาณาจักรฝรั่งเศสอันศักดิ์สิทธิ์ จงถอยทัพอย่างรวดเร็วจากในบางบริเวณและป้อมของราชอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์, ในพระนามของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ ข้าพเจ้าขอกล่าวว่าพระองค์ทรงพร้อมที่จะทำความตกลงสันติสุขกับท่าน, ตามพระเกียรติยศของพระองค์” |
“จดหมายจากฌานถึงฟิลลิปเดอะกูด ดยุกแห่งเบอร์กันดี, 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1429; Quicherat V, หน้า 126–127” |
แร็งส์เปิดประตูเมืองให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พระราชพิธีบรมราชาภิเษกกระทำกันในวันรุ่งขึ้นเมื่อวันที่
17 กรกฎาคม ค.ศ. 1429 ที่
มหาวิหารนอเทรอดามแห่งแรงส์ แม้ว่าฌานและดยุกแห่งอาล็องซงจะพยายามถวายคำแนะนำให้ทรงเดินทัพต่อไปยังปารีส แต่ทางราชสำนักยังพยายามเจรจาต่อรองแสวงหาสันติภาพกับดยุกแห่งเบอร์กันดี แต่
ฟิลลิปเดอะกูด ดยุกแห่งเบอร์กันดีก็ละเมิดสัญญาเพื่อถ่วงเวลาในการรอกองหนุนจากปารีส
[33] กองทัพฝ่ายฝรั่งเศสเดินทัพไปยังปารีสระหว่างทางก็ผ่านเมืองต่างๆ ที่ยอมสวามิภักดิ์โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ
จอห์นแห่งแลงคาสเตอร์ ดยุกแห่งเบดฟอร์ดที่ 1 ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระเจ้าเฮนรีที่ 6 นำกองทัพฝ่ายอังกฤษที่เผชิญหน้ากับฝ่ายฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ฝ่ายฝรั่งเศสเข้าโจมตีปารีสเมื่อวันที่ 8 กันยายน แม้จะได้รับการบาดเจ็บจากธนูที่ขาแต่ฌานก็ยังคงนำกองทัพจนกระทั่งวันที่การต่อสู้สิ้นสุดลง แต่วันรุ่งขึ้นฌานก็ได้รับพระราชโองการให้ถอยทัพ นักประวัติศาสตร์ส่วนมากกล่าวโทษ Georges de la Trémoille องคมนตรีฝ่ายฝรั่งเศสว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการคาดสถานะการณ์ผิดอันใหญ่หลวงหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนี้
[34] ในเดือนตุลาคมฌานก็สามารถยึดเมือง
แซงต์ปิแยร์-เล-มูติเยร์(Siège de Saint-Pierre-le-Moûtier) สำเร็จ
ถูกจับ
“สิ่งที่ขึ้นก็คือการพักรบกับดยุกแห่งเบอร์กันดีที่มีมาได้สิบห้าวัน แต่ท่านก็ไม่น่าที่จะต้องแปลกใจที่ข้าพเจ้ามิได้เข้าเมืองอย่างรีบร้อน ข้าพเจ้าไม่พึงพอใจกับการพักรบที่ว่านี้และไม่ทราบว่าจะต้องรักษาหรือไม่ แต่ถ้าจะรักษาก็เพียงเป็นการกระทำเพื่อเป็นเกียรติแก่พระมหากษัตริย์เท่านั้น: ไม่ว่า[ฝ่ายเบอร์กันดี]จะทำมิดีมิร้ายต่อสายเลือดของพระองค์อย่างใด, ข้าพเจ้าก็จะบำรุงรักษากองทัพหลวงไว้ในกรณีที่[ฝ่ายเบอร์กันดี]จะละเมิดสัญญาหลังจากสิบห้าวันนั้น” |
“จดหมายของฌานถึงประชาชนชาวเมืองแร็งส์, 5 สิงหาคม ค.ศ. 1429; Quicherat I, หน้า 246” |
หลังจาก
การล้อมเมืองชาริเต-เซอร์-ลัวร์ (Siège de La Charité) ในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมแล้ว ฌานก็เดินทัพต่อไปยัง
คองเพียญน์(Compiègne) ในเดือนเมษายนต่อมาเพื่อป้องกันจาก
การถูกล้อมเมือง (Siège de Compiègne) โดยฝ่ายอังกฤษและเบอร์กันดี แต่การต่อสู้อย่างประปรายเมื่อวันที่
23 พฤษภาคม ค.ศ. 1430 นำไปสู่การจับกุมของฌาน เมื่อมีคำสั่งให้ถอยฌานก็ปฏิบัติตัวอย่างผู้นำโดยเป็นบุคคลสุดท้ายที่ทิ้งสนามรบ ฝ่ายเบอร์กันดีเข้าล้อมกองหลัง ฌานต้องลงจากหลังเพราะถูกโจมตีโดยกองขมังธนูและตอนแรกก็มิได้ยอมจำนนทันที
[35]
ตามธรรมเนียมของ
สมัยกลางการจับกุม
เชลยสงคราม (prisonnier de guerre) เป็นการจับกุมแบบเรียกค่าไถ่ แต่ครอบครัวของฌานเป็นครอบครัวที่ยากจนจึงไม่สามารถหาเงินมาไถ่ตัวฌานจากที่คุมขังได้ นักประวัติหลายคนประณาม
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ที่ไม่ทรงเข้ายุ่งเกี่ยวกับการช่วยเหลือฌานในกรณีนี้ ฌานเองพยายามหลบหนีหลายครั้งๆ หนึ่งโดยการกระโดดจากหอที่สูงจากพื้นดินราว 21 ที่
แวร์ม็องดัว (Vermandois) ลงไปบนดินที่หยุ่นของคูเมืองแต่ไม่สำเร็จ หลังจากนั้นก็ถูกย้ายตัวไปเมือง
อาร์ราส (Arras) ในเบอร์กันดี และในที่สุดรัฐบาลอังกฤษก็ขอซื้อตัวฌานจาก
ฟิลลิปเดอะกูด โดยมี
ปีแยร์ โคชง (Pierre Cauchon)
บิชอปแห่ง
โบเวส์ (Beauvais) ผู้เป็นผู้ฝักฝ่ายฝ่ายอังกฤษตั้งตนเป็นผู้มีบทบาทในการเจรจาต่อรองซื้อตัวและต่อมาในการพิจารณาคดีของฌาน
[36]
การพิจารณาคดีประณาม
หอคอยที่
รูอ็องที่ฌานถูกจำขังระหว่างการพิจารณาคดีที่มารู้จักกันว่าหอฌานออฟอาร์ค ระหว่างการพยายามหลบหนีครั้งหนึ่งฌานกระโดดลงมาจากหออีกหอหนึ่งที่คล้ายกัน
การพิจารณาคดีในข้อหานอกรีต (hérésie) ของฌานมีมูลมาจากสถานะการณ์ทางการเมือง
จอห์นแห่งแลงคาสเตอร์ ดยุกแห่งเบดฟอร์ดที่ 1 ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสในนามของ
พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ผู้เป็นหลาน เห็นว่าเมื่อฌานเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อการการราชาภิเษกของ
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 การลงโทษฌานจึงเท่ากับเป็นการบ่อนทำลายอำนาจอันถูกต้องตามกฎหมายของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 โดยตรง การดำเนินการทางกฎหมายเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1431 ที่
รูอองซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐบาลผู้ยึดครองฝรั่งเศสของอังกฤษในขณะนั้น
[37] กระบวนการมีความลักลั่นในหลายประเด็น
ปัญหาใหญ่ๆ ที่พอสรุปได้ก็ได้แก่ อำนาจทางศาลของผู้พิพากษาปีแยร์ โคชงไม่ใช่อำนาจที่แท้จริงแต่เป็นอำนาจที่คิดค้นขึ้น
[38]; ปีแยร์ โคชงได้รับแต่งตั้งเพราะเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลอังกฤษและเป็นผู้ที่รับผิดชอบในค้าใช้จ่ายในการพิจารณาคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้น และพนักงานศาล
นิโคลัส เบลลีย์ (Nicolas Bailly) ก็ได้รับจ้างให้รวบรวมคำให้การที่เป็นปฏิปักษ์ต่อฌานและไม่พบหลักฐานใดที่คัดค้าน
[39] ถ้าไม่มีหลักฐานดังกล่าวศาลก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอในการสนับสนุนข้อกล่าวหาสำหรับการพิจารณาคดี นอกจากนั้นศาลก็ยังละเมิดกฎหมายศาสนจักรที่ปฏิเสธไม่ให้ฌานมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย เมื่อเปิดการสอบสวนเป็นการสารธารณะเป็นครั้งแรกฌานก็ประท้วงว่าผู้ที่ปรากฏตัวในศาลทั้งหมดเป็นฝ่ายตรงข้ามและขอให้ศาลเชิญ “ผู้แทนทางศาสนาของฝรั่งเศส” มาร่วมในการพิจารณคดีด้วย
[40]
บันทึกการพิจารณาคดีแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีปัญญาอันเฉียบแหลมของฌาน สำเนาบันทึกข้อแลกเปลี่ยนต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างสุขุมอย่างมีปฏิภาณ เมื่อ “ถูกถามว่าเธอทราบไหมว่าเธออยู่ภายใต้การพิทักษ์ของพระเจ้า, ซึ่งฌานก็ให้ตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้ามิได้, ก็ขอให้พระองค์ทรงทำเช่นนั้น; แต่ถ้าข้าพเจ้าได้, ก็ขอให้พระองค์ทรงรักษาไว้เช่นนั้น” (Si je n'y suis, Dieu veuille m'y mettre; et si j'y suis, Dieu m'y veuille tenir)
[41] คำถามนี้เป็นคำถามลวง กฎของคริสตจักรระบุว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถทราบได้แน่นอนว่าอยู่ภายใต้การพิทักษ์ของพระเจ้า ถ้าฌานตอบรับก็เท่ากับเป็นการให้การที่เป็นโทษต่อตนเองในข้อหาว่า
นอกรีต (hérésie chrétienne) แต่ถ้าตอบปฏิเสธก็เท่ากับเป็นการสารภาพความผิดของตนเอง ผู้บันทึกคำให้การ Boisguillaume ให้การต่อมาว่าคำตอบดังกล่าวของฌานทำให้ผู้สืบสวนในศาลต่างก็ตกตลึงไปตามๆ กัน
[42] ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักเขียนบทละคร
จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์พบว่าบทโต้ตอบในศาลเป็นบทโต้ตอบที่น่าประทับใจจนนำสำเนาการบันทึกไปใช้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในบทละครเรื่อง “
นักบุญฌาน” (Saint Joan)
[43]
ผู้เป็นฝ่ายศาลหลายคนต่อมาให้การในการพิจารณาคดีครั้งต่อมาว่าสำเนาคำให้การได้รับการประดิษฐ์เปลี่ยนแปลง (fabricate) เพื่อทำให้เห็นว่าฌานมีความผิดตามข้อกล่าวหา นักบวชหลายคนอ้างว่าต้องทำหน้าที่เพราะถูกบังคับที่รวมทั้งผู้ไต่สวน
ฌอง เลแมเตร (Jean LeMaitre) และบางคนอ้างว่าถึงกับได้รับการขู่ว่าจะถูกฆ่าจากฝ่ายอังกฤษ ภายใต้ข้อแนะนำในการไต่สวน ฌานควรจะถูกจำขังในที่จำขังสำหรับนักโทษที่ถูกกล่าวหาในข้อหาที่เกี่ยวกับศาสนาเท่านั้นและควรจะมีผู้คุมเป็นสตรี (เช่นแม่ชี) แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นฌานกลับถูกจำขังร่วมกับนักโทษในข้อหาทางฆราวาสและคุมโดยทหารด้วยกัน ปีแยร์ โคชงปฏิเสธคำร้องของฌานต่อ
สภาบาทหลวงแห่งบาเซิล (Conseil de Basel) และพระสันตะปาปาซึ่งถ้าทำได้ก็เท่ากับเป็นการยุติการดำเนินการพิจารณาคดีของศาล
[44]
ข้อหาสิบสองข้อที่สรุปโดยศาลขัดกับบันทึกของศาลเองที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง
[45] จำเลยผู้ไม่มีการศึกษายอมลงชื่อในเอกสาร
การบอกสละโดยสาบาน (abjuration) โดยปราศจากความเข้าใจถึงเนื้อหาและความหมายภายใต้การขู่เข็ญว่าจะถูกประหารชีวิต นอกจากนั้นศาลก็ยังได้สลับเอกสาร
การบอกสละโดยสาบานฉบับอื่นกับเอกสารที่ใช้อย่างเป็นทางการ
[46]
การประหารชีวิต
ความผิดใน
การนอกรีตเป็นความผิดที่มีโทษถึงตายสำหรับผู้ปฏิบัติซ้ำสอง ฌานยอมแต่งตัวอย่างสตรีเมื่อถูกจับแต่สองสามวันต่อมาก็ถูกข่มขืนในที่จำขัง
[47] ฌานจึงกลับไปแต่งตัวเป็นผู้ชายอีกซึ่งอาจจะเป็นการทำเพื่อเลี่ยงการถูกทำร้ายในฐานะที่เป็นสตรีหรือตามคำให้การของฌอง มาส์เซอที่กล่าวว่าเสื้อผ้าของฌานถูกขโมยและไม่เหลืออะไรไว้ให้สวม
[48]
พยานผู้เห็นเหตุการณ์บรรยายการประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็นเมื่อวันที่
30 พฤษภาคม ค.ศ. 1431 ว่าฌานถูกมัดกับเสาสูงหน้าตลาดเก่าในรูอ็อง ฌานขอให้บาทหลวงมาร์แต็ง ลาด์เวนู และบาทหลวงอิแซงบาร์ต เด ลา ปิแยร์ถือกางเขนไว้ตรงหน้า หลังจากที่ฌานเสียชีวิตไปแล้วฝ่ายอังกฤษกวาดถ่านหินออกจนเห็นร่างที่ถูกเผาไหม้เพื่อให้เป็นที่ทราบกันว่าฌานเสียชีวิตจริงและมิได้หลบหนี เสร็จแล้วก็เผาร่างที่เหลืออีกสองครั้งเพื่อไม่ให้เหลือสิ่งใดที่สามารถเก็บไปเป็น
เรลิกได้ หลังจากนั้นก็โยนสิ่งที่เหลือลงไปใน
แม่น้ำแซน[49] เพชฌฆาตเจฟฟรัว เตราช (Geoffroy Therage) กล่าวต่อมาว่ามีความหวาดกลัวว่าจะถูกแช่ง
[50]
การพิจารณาคดีครั้งที่สอง
การพิจารณาคดีหลังจากที่ฌานเสียชีวิตไปแล้วเริ่มขึ้นหลัง
สงครามร้อยปียุติลง
สมเด็จพระสันตะปาปาคาลิกซ์ตุสที่ 3 ทรงอนุมัติให้ดำเนินการพิจารณคดีของฌานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ตามคำร้องขอของผู้อำนวยการการไต่สวน
ฌอง เบรฮาล (Jean Brehal) และ
อิสซาเบลลา โรเมแม่ของฌาน การพิจารณาคดีครั้งนี้เรียกกันว่า “การพิจารณาคดีประณามเป็นโมฆะ” (procès en réhabilitation) ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีที่เป็นการสอบสวนการพิจารณาคดีครั้งแรกหรือที่เรียกว่า “การพิจารณาคดีประณาม” (procès en condamnation) และการตัดสินว่าเป็นการดำเนินการที่เป็นไปด้วยความยุติธรรมและตรงตามคริสต์ศาสนกฎบัตร
การสืบสวนเริ่มด้วยการไต่สวนนักบวช Guillaume Bouille โดย
ฌอง เบรฮาลเริ่มการสืบสวนในปี ค.ศ. 1452 และการอุทธรณ์อย่างเป็นทางการตามมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1455 การดำเนินการอุทธรณ์มีผู้เกี่ยวข้องจากทั่วยุโรปและเป็นไปตามกระบวนการพิจารณาคดีมาตรฐานของศาล
นักเทววิทยาคริสต์ศาสนาวิจัยคำให้การจากพยานด้วยกันทั้งหมด 115 คน เบรฮาลสรุปการวินิจจัยในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1456 ที่บรรยายฌานว่าเป็น
มรณสักขีและกล่าวหาปีแยร์ โกชงผู้เสียชีวิตไปแล้วว่าเป็นผู้นอกรีตเพราะเป็นผู้ลงโทษผู้บริสุทธิ์เพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตนเองทางโลก ศาลประกาศว่าฌานเป็นผู้บริสุทธิ์เมื่อวันที่
7 กรกฎาคม ค.ศ. 1456[51]
อนาโตล ฟรานซ์ เขียนบันทึกไว้ว่า เดือนพฤษภาคม 1437 ราว 5 ปี หลังจากฌานถูกเผาที่รูอัง มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เมืองลอเรน เธอมาบอกว่าเป็นฌาน ออฟ อาร์ค น่าแปลกที่น้องชายสองคนของฌาน ออฟ อาร์คและสหายสนิทต่างให้ความสนับสนุนเธอว่าคือฌาน ออฟ อาร์ค ตัวจริง แม้ไม่มีใครทราบว่าเธอรอดจากการถูกเผาอย่างไร แต่หลายฝ่ายเดาว่าอาจมีการสลับตัวนักโทษตอนวันประหาร
ต่อมาสตรีผู้นั้นได้แต่งงานกับโรเบิร์ต เดซามัวร์ และมีบุตรสองคน จากนั้นเธอก็ไปเข้าเฝ้าชาร์ลส์ที่ 7 แล้ว ภายหลังพระองค์ได้ประกาศว่าเธอเป็นฌาน ดาร์กตัวปลอม เธอถูกบังคับให้สารภาพต่อหน้าสาธารณชนในปารีส เธอสารภาพว่าเป็นทหารประจำองค์พระสันตะปาปานึกคิดสนุกว่าอยากเป็นฌาน ดาร์ก ในที่สุดเธอคนนั้นก็ถูกปล่อยตัวไปใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบๆ กับครอบครัวที่เมืองเมทซ์ แต่เพื่อนและญาติยังถือว่าเธอเป็นฌาน ดาร์กอยู่ และปริศนาของฌาน ดาร์ก ก็ยังไม่สามารถไขได้จนถึงทุกวันนี้
เครื่องแต่งกาย
“ฌาน ดาร์กในพระราชพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7” โดย
ฌอง โอกุสต์ โดมินิค อิงเกรส์ (1854) เป็นความพยายามที่ทำให้ฌานดูเหมือนสตรีเพิ่มขึ้น ดูที่ผมที่ยาวและกระโปรงที่แลบออกมาจากเกราะ
ฌาน ดาร์กแต่งกายอย่างบุรุษตั้งแต่ออกจาก Vaucouleurs ไปจนถึงการพิจารณาคดีที่รูอ็อง
[52] ซึ่งเป็นการทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยในทางคริสต์ศาสนวิทยาในสมัยของฌานเองและต่อมาอีกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเหตุผลหนึ่งของการถูกประหารชีวิตอ้างว่ามาจากการขัดกับกฎการแต่งกายจากพระคัมภีร์
[53] ในการประกาศว่า “การพิจารณาคดีกล่าวหา” เป็นโมฆะ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคดีแรกไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อกล่าวหานี้ค้านกับพระคัมภีร์
ถ้ากล่าวกันตาม
กฎหมายศาสนจักรแล้ว การแต่งตัวเป็นชายผู้รับใช้ (page) ของโจนระหว่างการเดินทางฝ่าดินแดนของศัตรูเป็นการกระทำเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ตนเอง รวมทั้งการสวมเกราะในระหว่างการยุทธการก็เช่นกัน “บันทึกของปูเซลล์” (Chronique de la Pucelle) กล่าวว่าเป็นการกระทำเพื่อการป้องกันการถูกกระทำมิดีมิร้ายขณะที่ต้องหลับนอนกลางสนามรบ นักบวชผู้ให้การในการพิจารณาคดีครั้งที่สองสนับสนุนว่าฌานยังคงแต่งกายอย่างบุรุษในขณะที่ถูกจำขังเพื่อป้องกันตัวจากการถูกกระทำมิดีมิร้ายหรือจากการถูกข่มขืน
[54] ส่วนการรักษา
พรหมจรรย์ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนการแต่งกายสลับเพศ (crossdressing) การแต่งกายเช่นนั้นเป็นการกันการถูกทำร้ายในฐานะที่เป็นสตรีและในสายตาของผู้ชายก็ทำให้ไม่เห็นว่าฌานเป็นเหยื่อในทางเพศ (sex object)
[55]
ระหว่างการพิจารณาคดีครั้งแรกโจนให้การเกี่ยวกับประเด็นนี้โดยอ้างถึงการสืบสวนที่
ปัวตีเย บันทึกการสืบสวนที่
ปัวตีเยสูญหายไปแล้วแต่จากหลักฐานแวดล้อมบ่งว่านักบวชปัวติเยร์ยอมรับการปฏิบัติเช่นนั้นของฌาน หรือถ้าจะตีความหมายก็อาจจะกล่าวได้ว่าโจนมีหน้าที่ที่จะดำเนินงานที่เป็นของบุรุษฉะนั้นจึงเป็นการสมควรที่จะแต่งตัวให้เหมาะสมกับสถานะการณ์
[56] นอกจากการแต่งตัวเป็นบุรุษแล้วโจนก็ยังตัดผมสั้นระหว่างการรณรงค์และขณะที่ถูกจำขัง ผู้สนับสนุนโจนเช่นนักคริสต์ศาสนวิทยา
ฌอง เชร์ซอง(Jean Gerson) และผู้ไต่สวนเบรฮาลในการพิจารณาคดีครั้งหลังสนับสนุนการกระทำเช่นที่ว่าว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ
[57]
นิมิต
“ฌาน ดาร์ก” โดยเออแฌน ตีริยอง (ค.ศ. 1876) ภาพลักษณะนี้ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มักจะมีนัยยะทางการเมืองระหว่างช่วงที่ฝรั่งเศสเสียดินแดนให้แก่เยอรมนีในปี ค.ศ. 1871 (โบสถ์น็อทร์-ดามที่โชตู)
นิมิตของโจนเป็นหัวข้อที่เป็นที่น่าสนใจกันเป็นอันมาก นักวิชาการเห็นพ้องกันว่าความศรัทธาของฌานเป็นความศรัทธาที่จริงใจ ฌานกล่าวว่านักบุญ
มาร์กาเรตแห่งแอนติออก นักบุญ
แคเธอรินแห่งอะเล็กซานเดรีย และ
อัครทูตสวรรค์มีคาเอลเป็นที่มาของ
วิวรณ์ แต่ก็ยังมีความกำกวมในชื่อดังกล่าวว่าเป็นนักบุญองค์ใดแน่ในบรรดานักบุญที่มีชื่อเหมือนกันที่โจนตั้งใจจะกล่าวถึง ผู้นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกเห็นว่านิมิตของโจนเป็นการดลใจจากพระเจ้า (inspiration divine)
นิมิตของฌานออกจะเป็นปัญหาเพราะแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่มาจากบันทึกของการพิจารณาคดีครั้งแรก ฌานท้าทายกระบวนการของการไต่สวนตามธรรมเนียมของศาลในเรื่องการสาบานพยานและโดยเฉพาะเมื่อปฏิเสธไม่ยอมให้การใดใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนิมิตเมื่อถูกถาม ฌานประท้วงว่ามาตรฐานของการสาบานพยานของศาลขัดต่อคำสาบานที่เธอได้กระทำไว้ก่อนหน้านั้นในการรักษาความลับของการเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ ซึ่งทำให้ไม่อาจจะทราบได้ว่าเอกสารที่ยังหลงเหลืออยู่จะเป็นที่น่าเชื่อถือได้เพียงใด เพราะอาจจะเป็นเอกสารที่ถูกประดิษฐ์แก้ไขขึ้นเพื่อประโยชน์ของศาลโดยเจ้าหน้าที่ของศาลเอง หรืออาจจะเป็นการประดิษฐ์แก้ไขของโจนเองเพื่อป้องกันความลับของราชอาณาจักร
[58] นักประวัติศาสตร์บางท่านก็เลี่ยงการสันนิษฐานที่เกี่ยวกับนิมิตโดยเสนอว่าความเชื่อของฌานในการที่ถูกเรียกตัวให้มาปฏิบัติภารกิจมีความสำคัญกว่าคำถามที่เกี่ยวกับที่มาดั้งเดิมของนิมิตที่เกิดขึ้น
[59]
ฌาน ดาร์กโดยโจเซฟ วิลเลียม จอย
โจนออฟอาร์คถูกเผาทั้งเป็นโดย Jules-Eugène Lenepveu
เอกสารร่วมสมัยของฌานและจากนักประวัติศาสตร์ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 มักจะสรุปว่าฌานมีสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจปกติ แต่นักวิชาการในปัจจุบันพยายามอธิบายการเห็นนิมิตของโจนว่าอาจจะเป็นอาการทางจิตหรือทางประสาท การสันนิษฐานการวินิจฉัยก็รวมทั้ง
โรคลมชัก (epilepsy) ,
ไมเกรน (migraine) ,
วัณโรค และ
โรคจิตเภท (schizophrenia)
[60]แต่การสันนิษฐานต่างๆ ที่ว่าก็ไม่มีข้อใดที่เป็นที่เห็นพ้องกันกันโดยทั่วไป แต่
ประสาทหลอน (hallucination) และความศรัทธาอันรุนแรงทางศาสนาอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการได้หลายอย่าง แต่อาการที่ว่านี้ขัดกับสิ่งที่เราทราบเกี่ยวกับชีวิตของโจน นักวิชาการสองคนผู้วิจัยสมมุติฐานเกี่ยวกับ
วัณโรคใน
สมองกลีบขมับ (Temporal lobe tuberculoma) ในวารสารทางแพทย์
Neuropsychobiology แสดงความแคลงใจว่าโจนเป็นโรคที่ว่าจากการสันนิษฐานดังนี้:
|
การสรุปความเห็นที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ก็ดูเหมือนว่าการลามของวัณโรคซึ่งเป็นเชื้อโรคที่ร้ายแรงไม่ได้จะเกิดขึ้นในตัว“คนไข้” ผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างสำบุกสำบัน[เช่นโจน] เป็นวิถีชีวิตที่เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่มีอาการของเชื้อโรคที่ร้ายแรงเช่นวัณโรคจะสามารถทำได้ [61]
| |
ในการโต้ตอบทฤษฎีหนึ่งที่กล่าวว่าโจนอาจจะมีอาการของ
วัณโรคที่เกิดจากวัว (tuberculose bovine) เพราะดื่มนมที่ยังไม่ได้รับการฆ่าเชื้อ นักประวัติศาสตร์ Régine Pernoud โต้ว่าถ้าการดื่มนมที่ยังไม่ได้รับการฆ่าเชื้อแล้วได้ผู้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองอย่างโจนแล้ว รัฐบาลฝรั่งเศสก็ควรจะยุติการบังคับใช้กฎหมายที่ต้องฆ่าเชื้อนมลง
[62] ราล์ฟ ฮอฟฟ์แมนศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐอเมริกาให้ความเห็นว่าการเห็นหรือการได้ยินเสียง (นอกไปจากปกติ) ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสัญญาณของการเป็นโรคจิตเสมอไปเช่นประสบการณ์ของโจน แต่ก็ไม่ได้เสนอทฤษฎีอื่นที่อาจจะเป็นสาเหตุแทน
[63]
สมมุติฐานต่างๆ เช่นในกรณีของ
โรคจิตเภทก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะโอกาสที่ผู้มีอาการของ
โรคจิตเภทจะได้เข้าใกล้หรือกลายเป็นคนโปรดในราชสำนักได้นั้นเป็นการยากโดยเฉพาะในกรณีของราชสำนักของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 เพราะพระราชบิดาของพระองค์เองพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 ที่รู้จักกันในพระนามว่า “ชาร์ลส์ผู้บ้าคลั่ง” ผู้ที่ทำให้ฝรั่งเศสอ่อนแอลงทั้งทางด้านการเมืองและทางด้านการทหาร ก็สันนิษฐานว่ามาจากการก็มีพระอาการเสียพระสติเป็นพักๆ ที่ไม่ทรงสามารถพระราชภารกิจตามปกติได้ พระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์เองทำด้วยแก้ว ซึ่งเป็นอาการประสาทหลอนที่ข้าราชสำนักมิได้สันนิษฐานว่ามีส่วนที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดเกี่ยวกับประสบการณ์ทางศาสนา นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าความกลัวที่ว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 อาจจะเจริญพระชันษาขึ้นมาแล้วมีอาการเหมือนพระราชบิดา เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการยกเลิกสิทธิของพระองค์ในการสืบราชบัลลังก์ฝรั่งเศสใน
สนธิสัญญาตรัวส์ ความเชื่อที่ว่า “ความบ้าคลั่ง” เป็นโรคที่ติดต่อทางกรรมพันธุ์ฝังแน่นกันมาจนถึงชั่วคนต่อมาเมื่อ
สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษทรงแสดงพระอาการเสียพระสติในปี ค.ศ. 1453 ซึ่งทำให้ถูกกล่าวว่าเป็นส่วนหนึ่งที่มาจากทางฝ่ายฝรั่งเศส เพราะพระเจ้าเฮนรีที่ 6 เป็นพระปนัดดาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6
เมื่อฌานมาถึงชีนงองคมนตรีฌาคส์ เชลู (Jacques Gélu) กล่าวเตือนว่า:
“ | เราไม่ควรจะเปลี่ยนนโยบายอันใดจากเพียงได้สนทนากับเด็กสาวคนนี้, [เด็กสาวที่เป็น]ชาวนา... ผู้ที่มักจะมีประสาทหลอน; เราไม่ควรจะทำตัวให้เป็นที่น่าอับอายต่อต่างประเทศ.... | ” |
ความฉับไวและความรู้เกี่ยวกับอาการทางประสาทของข้าราชสำนักในพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 เป็นสิ่งที่ผิดไปจาก
สามัญทัศน์สำหรับผู้คนในสมัยกลาง
[64][65]
นอกจากความสำบุกสำบันทางร่างกายจากการเข้าร่วมในยุทธการต่างๆ ที่ทำให้การสันนิษฐานว่ามีโรคทางร่างกายเป็นไปได้ยากแล้ว โจนก็มิได้แสดงอาการที่แสดงความบกพร่องในการรู้ (handicap cognitif) แต่อย่างใดที่เป็นส่วนหนึ่งของอาการทางโรคจิตถ้าเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้ามโจนแสดงตนว่าเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบอยู่กับร่องกับรอยจนตลอดชีวิต และผู้ให้การในการพิจารณาคดีครั้งที่สองก็มักจะแสดงความประทับใจในความมีปฏิภาณของโจนที่ว่านี้:
“ | [ผู้พิพากษา]มักจะถามโน่นถามนี่, เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา, แต่ที่เห็นได้ชัดคือฌานสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างสุขุม, และทำให้ประจักษ์ถึงความทรงจำที่ดี[66] | ” |
คำตอบที่สุขุมของโจนภาพใต้การสืบสวนบางครั้งถึงกับทำให้ศาลต้องหยุดการพิจารณาเป็นการสาธารณะหลายครั้ง
[42] ถ้านิมิตของฌานเป็นสิ่งที่มีสาเหตุมาจากปัญหาทางสุขภาพทางร่างกายหรือทางจิตแล้ว กรณีของฌานก็เห็นจะต้องเป็นกรณีพิเศษ
กู้หน้า
ฟิลิปป์-อเล็กซานเดอร์ เล เบริง เด ชาร์แมตส์ (Philippe-Alexandre Le Brun de Charmettes) เป็นนักประวัติศาสตร์คนแรกที่เขียนชีวประวัติฉบับสมบูรณ์ของโจนออฟอาร์ค
[67] ในปี ค.ศ. 1817 เพื่อกู้ฐานะของครอบครัวหลังจากที่ถูกประณามเพราะชื่อเสียงในการเป็นผู้นอกศาสนาของฌาน ความสนใจของฟิลิปป์มีสาเหตุมาจากในช่วงที่ฝรั่งเศสพยายามพยายามเสาะหาความหมายของความเป็นฝรั่งเศสหลังจาก
การปฏิวัติฝรั่งเศสและ
สงครามนโปเลียน “
จริยศาสตร์” (ethos) ของฝรั่งเศสในขณะนั้นก็เป็นการเสาะหาวีรบุรุษที่เป็นผู้ที่ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ ของสังคมขณะนั้น ฌาน ดาร์กผู้เป็นผู้สนับสนุนพระมหากษัตริย์และบ้านเมืองอย่างเหนียวแน่นจะเป็นที่ยอมรับโดยฝ่ายนิยมกษัตริย์ (Monarchists) ส่วนในฐานะที่เป็นนักชาตินิยมและลูกสาวชาวนาพื้นบ้านโจนก็เป็นตัวแทนของอาสาสมัครชาวบ้าน (“soldats de l'an II”) ผู้ต่อสู้และได้รับชัยชนะในการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1802 ฉะนั้นโจนจึงสามารถอ้างได้ว่าเป็นผู้แทนของผู้นิยมสารธารณรัฐ (Republicains) ได้ และในฐานะผู้พลีชีพเพื่อศาสนาโจนก็เป็นที่นิยมในหมู่ชนโรมันคาทอลิกผู้มีอำนาจ “Orléaniste” ของ
เด ชาร์แมตส์เป็นความพยายามอีกครั้งหนึ่งในการเผยแพร่ “
จริยปรัชญา” (ethos) ของฝรั่งเศส เช่นเดียวกับข้อเขียนของ
เวอร์จิล ใน “Aeneid” สำหรับโรมหรือของ
ลูอิส เด คามอยส์ (Luís de Camões) ใน “Lusiad” สำหรับโปรตุเกส
สงครามร้อยปี
-
ฌาน ดาร์กในพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์
หลังจากการเสียชีวิตของฌานแล้วสงครามร้อยปีก็ยังคงดำเนินต่อมาเป็นเวลาอีก 22 ปี พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ทรงสามารถรักษาสิทธิอันถูกต้องในการครองราชบัลลังก์ฝรั่งเศสแม้ว่า
ดยุกแห่งเบดฟอร์ดจะจัดให้มีพระราชพิธีราชาภิเษกสำหรับ
พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1431 เมื่อมีพระชนมายุได้ 10 พรรษาก็ตาม ก่อนที่อังกฤษจะมีความสำเร็จในการสร้างเสริมผู้นำทางการทหารและกองขมังธนูที่เสียไประหว่างยุทธการใน ค.ศ. 1429 อังกฤษก็สูญเสียพันธมิตรกับเบอร์กันดีใน
สนธิสัญญาอาร์ราส (Traité d'Arras) ในปี ค.ศ. 1435 และในปีเดียวกันนั้น
ดยุกแห่งเบดฟอร์ดก็เสียชีวิต พระเจ้าเฮนรีที่ 6 จึงทรงกลายเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ที่สุดที่ปกครองอังกฤษโดยไม่มี
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ความอ่อนแอในการเป็นผู้นำของพระองค์อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สงครามร้อยปียุติลง
เคลลี เดวรีส์อ้างว่าการใช้ปืนใหญ่และการโจมตีโดยตรงอย่างหนักมีอิทธิพลต่อยุทธวิธีตลอดการต่อสู้ในสงครามร้อยปีของฝรั่งเศส
[68]
ฌาน ดาร์กกลายเป็นตำนานมาเกือบสี่ศตวรรษ ที่มาของข้อมูลเกี่ยวกับฌานส่วนใหญ่มาจากบันทึกพงศาวดาร แต่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็มีการพบบันทึกจากการพิจารณาคดีครั้งแรกฉบับดั้งเดิมห้าเล่ม ต่อมานักประวัติศาสตร์ก็พบหลักฐานการพิจารณาคดีครั้งที่สองทั้งหมดซึ่งเป็นบันทึกของคำให้การจากพยายานที่ผ่านการสัตย์สาบาน 115 คน และบันทึกภาษาฝรั่งเศสของการพิจารณาคดีครั้งแรกที่เป็นภาษาละติน นอกจากนั้นก็ยังมีการพบจดหมายจากร่วมสมัย สามฉบับลงนาม “Jehanne” ด้วยลายมือที่ไม่มั่นคงคล้ายกับผู้ที่เพิ่งหัดเขียนหนังสือ
[69] จากหลักฐานทางเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับฌานทำให้เดวรีส์ประกาศว่า “เห็นจะไม่มีผู้ใดในสมัยกลางไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงที่เป็นหัวข้อของการศึกษามากเท่าฌาน”
[70]
จดหมายที่พบ สามฉบับลงชื่อ
ฌานมาจากครอบครัวในหมู่บ้านเล็กที่ไม่มีใครรู้จักและมามีชื่อเสียงโด่งดังเมื่ออายุยังน้อยและเป็นในฐานะชาวบ้านผู้ไม่มีการศึกษา พระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสและอังกฤษเข้าทำสงครามที่ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเพราะความขัดแย้งที่เกิดจากการตีความหมายของ
กฎหมายแซลิกอันเก่าแก่กว่าพันปี ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งที่ดูจะไม่จบสิ้นระหว่างสองอาณาจักร แต่ฌานก็มาให้ความหมายของสถานะการณ์ใหม่เช่นที่ฌอง เด เมซถามว่า “จำเป็นด้วยหรือที่พระมหากษัตริย์ต้องทรงถูกขับจากแผ่นดิน, และเราจะต้องเป็นอังกฤษหรือ?”
[19] ตามที่สตีเฟน ดับเบิบยู. ริชชีกล่าวว่า “ฌานเปลี่ยนเหตุการณ์จากความขัดแย้งของราชวงศ์ที่ไม่น่าสนใจที่ไม่ทำให้ชาวบ้านมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง[ต่อความขัดแย้ง]นอกไปจากความทุกข์ของตนเอง ไปเป็นเหตุการณ์สงครามเพื่อการกู้ชาติที่เร้าความรู้สึกของประชาชน”
[21] นอกจากนั้นริชชีก็ยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับความเป็นที่นิยมของฌานว่า:
“ประชาชนรุ่นต่อมาอีกห้าร้อยปีหลังจากที่ฌานเสียชีวิตไปแล้วสร้างสรรค์ภาพพจน์ต่างๆ เกี่ยวกับฌาน: ผู้บ้าคลั่งทางจิตวิญญาณ, ผู้บริสุทธิ์ผู้เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ, ผู้เป็นตัวอย่างของความเป็นชาตินิยม, วีรสตรีผู้น่าชื่นชม, นักบุญ [แต่]ฌานก็ยังคงยืนยันแม้เมื่อถูกขู่ด้วยการทรมานและการเผาทั้งเป็นว่าได้รับแรงบันดาลใจจากพระสุรเสียงของพระเจ้า ไม่ว่าจะมีพระสุรเสียงหรือไม่มีพระสุรเสียงความสำเร็จของฌานก็ทำให้ทุกคนที่ทราบประวัติอดส่ายหัวด้วยความทึ่งในความสามารถอันมหัศจรรย์ของฌานไม่ได้
[21]
ในปี ค.ศ. 1452 ระหว่างการสืบสวนที่เกี่ยวกับการประหารชีวิตของฌานหลังสงครามร้อยปี ทางคริสตจักรก็ประกาศว่าบทละครที่แสดงเพื่อเป็นเกียรติแก่ฌานที่แสดงที่ออร์เลอองส์ถือว่าเป็น
กุศล (pélerinage) ที่มีค่าในการ
ไถ่บาป (indulgence) ได้ ฌานกลายเป็นสัญลักษณ์ของ
สันนิบาตคาทอลิกฝรั่งเศส (Sainte Ligue catholique) ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่างปี ค.ศ. 1849 ถึง ค.ศ. 1878
เฟลีส์ ดูปองลูพ์ บิชอปแห่งออร์เลอ็อง ก็เป็นผู้นำในการเรียกร้องให้แต่งตั้งฌานให้เป็นนักบุญแต่ดูปองลูพ์มิได้มีอายุยืนพอที่จะเห็นผล
ฌาน ดาร์กมิได้เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิของสตรี (feminist) ฌานปฏิบัติตนภายในกรอบของประเพณีทางศาสนาเช่นเดียวกับผู้อื่นที่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดใดในสังคมที่ได้รับเสียงเรียกจากพระเจ้าให้ทำหน้าที่พึงทำ ฌานไล่สตรีออกจากกองทัพและอาจจะตีคนหนึ่งด้วยส่วนแบนของดาบ
[72][73] แต่จะอย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดในการช่วยเหลือฌานก็มาจากสตรีเมื่อแม่ยายของพระเจ้าชาร์ลที่ 7 โยลันเดอแห่งอารากอนยืนยันความเป็นพรหมจารีของฌานและหาเงินทุนสนับสนุนให้ฌานเข้าร่วมรบที่ออร์เลอองส์ ฌานแห่งลักเซมเบิร์กป้าของเคานท์แห่งลักเซมเบิร์กผู้ดูแลฌานหลังจาก
คองเพียญน์เป็นผู้ช่วยทำให้สภาพการคุมขังดีขึ้นและอาจจะเป็นผู้พยายามถ่วงเวลาในการขายฌานให้แก่ฝ่ายอังกฤษ และ
แอนน์แห่งเบอร์กันดีภรรยาของดยุกแห่งเบดฟอร์ดเป็นผู้ประกาศว่าฌานยังเป็นพรหมจารีระหว่างการสืบสวนก่อนหน้าที่จะมีการพิจารณาคดี
[74] ซึ่งตามเหตุผลนี้แล้วก็เป็นการป้องกันศาลจากการกล่าวหาฌานในข้อหาว่าเป็นแม่มด และข้อนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาช่วยในการประกาศความบริสุทธิ์ของฌาน ต่อมาและในการเป็นนักบุญ สตรีตั้งแต่ในสมัยโบราณมาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเห็นว่าฌานเป็นตัวอย่างของความกล้าหาญและความมีบทบาทของสตรี
[75]
ฌาน ดาร์กเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองของฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยของ
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ฝ่าย
ลิเบอรัล (libéralisme classique) เน้นการมาจากระดับชนชั้นต่ำของฌาน ฝ่าย
อนุรักษนิยม (conservatisme) เมื่อเริ่มแรกเน้นการสนับสนุนของฌานต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ต่อมาก็หันไปเน้นความเป็นชาตินิยม ระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่สองทั้งฝ่าย
วิชีฝรั่งเศสและฝ่าย
ขบวนการฝรั่งเศสเสรี (Résistance française) ต่างก็ใช้ฌานเป็นสัญลักษณ์: ฝ่ายวิชีใช้การโฆษณาชวนเชื่อของการรณรงค์ของฌานในการต่อต้านอังกฤษโดยใช้
โปสเตอร์ที่เป็นภาพของเรือบินอังกฤษทิ้งลูกระเบิดที่
รูออง และคำโฆษณา “They Always Return to the Scene of Their Crimes.” ส่วนฝ่ายขบวนการฝรั่งเศสเสรีเน้นการต่อสู้ของฌานในการต่อต้านการยึดครองของชาวต่างประเทศและที่มาของฌานที่มาจากลอร์แรนซึ่งเป็นบริเวณที่ยึดครองโดย
นาซี
เรือรบของ
รัฐนาวีแห่งฝรั่งเศสสามลำก็ตั้งชื่อตามฌานที่รวมทั้งเรือ “Jeanne d'Arc (R 97) ” ในปัจจุบันพรรค “Front national” ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศสก็ไปรวมตัวกันที่หน้าอนุสาวรีย์ของฌาน และพิมพ์ภาพที่คล้ายคลึงกับฌานในสิ่งพิมพ์ของพรรคและใช้คบเพลิงสามสีของพรรคเป็นสัญลักษณ์ของการพลีชีพของฌานในตราของพรรค ผู้ที่ค้านกับก็กล่าวเสียดสีความไม่เหมาะสมของการใช้สัญลักษณ์เช่นนี้
[76] วันหยุดราชการเพื่อเป็นเกียรติแก่ฌานคือวันอาทิตย์ที่สองของเดือน
เรลิก
ในปี ค.ศ. 1867 กล่าวกันว่ามีการพบผอบในร้านขายยาในปารีสที่มีคำจารึกว่า “ซากที่พบใต้ที่เผาฌาน ดาร์ก พรหมจารีแห่งออร์เลอ็อง” ภายในเป็นซี่โครงและเศษไม้ไหม้ และชิ้นผ้าลินนินและกระดูกโคนขาของแมวที่อาจจะอธิบายว่ามาจากประเพณีการโยนแมวดำเข้าไปในกองเพลิงที่เผาแม่มด ในปัจจุบันผอบนี้รักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์ที่ชินอง
ในปี ค.ศ. 2006, ฟิลลิปป์ ชาร์ลิเยร์ (Philippe Charlier) นักนิติวิทยาจากโรงพยาบาล Raymond-Poincaré ที่ Garches ได้รับหน้าที่ให้ศึกษาวัตถุที่ว่านี้ โดยใช้
การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี (Radiocarbon dating) และ spectrométrie ผลจากการศึกษา
[77] พบว่าสิ่งที่อยู่ในผอบมาจาก
มัมมี่ของอียิปต์จาก 600 ถึง 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ลักษณะรอยไหม้เกิดจากปฏิกิริยาของสารที่ใช้ในการดองศพไม่ใช่จากการถูกเผา นอกจากนั้นก็ยังพบผงที่มาจากลูกสนที่สนับสนุนทฤษฎีการทำมัมมี่ ชิ้นผ้าลินนินที่ไม่มีรอยไหม้คล้ายกับผ้าลินนินที่ใช้ในการห่อศพ นักดมน้ำหอม Guerlain และ ฌอง ปาตู กล่าวว่าได้กลิ่นวนิลาจากซากซึ่งก็ตรงกับทฤษฎีการทำมัมมี่เช่นกัน
[4] อีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือมัมมี่ใช้เป็นเครื่องปรุงอย่างหนึ่งในการผสมยาในสมัยกลาง จึงอาจจะเป็นได้ว่ามีผู้ปิดฉลากผอบใหม่ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส
ภาพยนตร์ชีวประวัติ